Dinner Talk 3 ปี ERS ยืนหยัดปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืนของคนไทยทุกๆคน

0
237
3 ปี ERS : หนุนรัฐเร่งสร้างความชัดเจนเรื่องแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมที่กำลังจะหมดอายุ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ รายได้รัฐ และการจ้างงาน อีกทั้ง ชี้ให้เห็นภยันตรายของการจัดตั้ง NOC พร้อมเสนอวิธีเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนที่ไม่เป็นภาระต่อภาครัฐ และยังลดการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ได้อีกด้วย
เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2560 ที่ผ่านมา ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ดร.คุรุจิต นาครทรรพ และนายมนูญ ศิริวรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน (ERS) ร่วมพูดเกี่ยวกับสถานการณ์พลังงานของประเทศในงานพบปะสมาชิก “Dinner Talk 3 ปี ERS: ยืนหยัดปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืนของคนไทยทุกๆคน” อัพเดทสถานการณ์ด้านพลังงานของประเทศ ในช่วงการเสวนา ‘อนาคตพลังงานไทย จะรุ่งหรือร่วง’ ณ สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์ฯ โดยมีคุณศิริพร ไชยสุต ที่ปรึกษาบริษัทข้ามชาติที่ดำเนินธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ร่วมแบ่งปันบทเรียนที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลวของนโยบายพลังงานในต่างประเทศต่อสถานการณ์ต่างๆ และบทเรียนจากบรรษัทน้ำมันแห่งชาติในต่างประเทศ.
ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กล่าวต้อนรับสมาชิกเนื่องในโอกาสครบรอบ 3 ปีของการก่อตั้งกลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน หรือ ERS และเล่าถึงวัตถุประสงค์การจัดงานในครั้งนี้ว่า ต้องการให้สมาชิกและผู้สนใจได้มีโอกาสรับรู้ แลกเปลี่ยนประเด็นพลังงานด้านต่างๆ ในเชิงลึก พร้อมตอกย้ำแนวทางของกลุ่มฯ เพื่อการปฏิรูปพลังงานที่ยั่งยืนของประเทศ “ขจัด-ลด-สร้าง-พัฒนา”
ขจัด ความเหลื่อมล้ำในสังคม ให้ความเป็นธรรมผู้ใช้ทุกกลุ่ม
ลด คอร์รับชัน สร้างธรรมาภิบาลในการบริหารพลังงาน
สร้าง ประสิทธิภาพการใช้พลังงานและความมั่นคงในการจัดหา
พัฒนา พลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้เกิดและดำรงอยู่ได้จริง
ดร.ปิยสวัสดิ์ฯ แสดงความรู้สึกยินดีที่ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ทางกลุ่มฯ ได้มีส่วนร่วมให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะแก่ภาครัฐ ซึ่งได้มีการเดินหน้าปฏิรูปและพัฒนาการบริหารพลังงานของประเทศ อาทิ การปรับโครงสร้างราคาเชื้อเพลิงให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันในธุรกิจพลังงาน ส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน อย่างไรก็ตาม ยังมีความล่าช้าอยู่ในเรื่องการบริหารแหล่งปิโตรเลียมที่จะหมดอายุสัมปทาน และการเปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียมรอบใหม่ โดยกล่าวเน้นย้ำในประเด็นแหล่งบงกชและแหล่งเอราวัณที่กำลังจะหมดอายุสัมปทานในปี 2565 และ 2566 นี้ว่า หากขั้นตอนล่าช้า จะส่งผลกระทบต่างๆ มากมาย ทั้งต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มากขึ้น การลงทุนการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมขาดช่วง บุคลากรตกงาน ธุรกิจต่อเนื่องของคนไทยต้องเสียหาย รัฐจะสูญเสียรายได้จากค่าภาคหลวงและภาษีเงินได้ปิโตรเลียมที่ลดลง อาจจะเหลือแค่ครึ่งหนึ่งจากที่เคยได้รับสูงถึงกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งจะกลายเป็นรายได้ของรัฐบาลต่างประเทศที่ไทยต้องนำเข้าพลังงานเข้ามาแทน อนึ่ง หลายคนอาจไม่ทราบว่าการต่อระยะเวลาผลิตเมื่อปี 2550 ซึ่งเป็นสิทธิ์ตามสัญญาสัมปทานเดิมนั้น ได้สร้างรายได้เพิ่มแก่ภาครัฐเฉลี่ยปีละ 4,600 ล้านบาท นอกจากนี้ วิธีการบริหารแหล่งปิโตรเลียมก็เป็นสิ่งสำคัญ หากไม่เหมาะสม เช่น เรียกผลตอบแทนให้รัฐสูงมาก บริษัทผู้ลงทุนก็อาจเลือกไปลงทุนในประเทศอื่นที่คุ้มค่ากว่าแทน
ในด้านการส่งเสริมพลังงานทดแทน ดร. ปิยสวัสดิ์เสนอให้มีการติดตั้ง Solar Rooftop อย่างกว้างขวาง โดยรัฐไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินอุดหนุน เพียงขจัดอุปสรรคต่างๆ ออกไปให้ประชาชนและภาคส่วนต่างๆ ผลิตไฟฟ้าใช้เอง ก็จะสามารถลดการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ได้ระดับหนึ่ง
ดร.คุรุจิต นาครทรรพ กล่าวเห็นด้วยและเสริมว่า การบริหารพลังงานทดแทนของรัฐบาลชุดนี้มีความโปร่งใสขึ้นมาก ส่วนความล่าช้าในการบริหารแหล่งปิโตรเลียมที่จะหมดอายุสัมปทาน นอกจากจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงการจัดหาพลังงานภายในประเทศแล้ว ยังส่งผลต่อการผลิต LPG และวัตถุดิบเพื่อป้อนอุตสาหกรรมปิโตรเคมีภายในประเทศ ซึ่งจะกระทบอุตสาหกรรมต่อเนื่องและการจ้างงานโดยรวม อีกทั้งยังเห็นว่าระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) ไม่ค่อยเหมาะสมกับบริบทของการลงทุนสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทยที่มิได้มีปิโตรเลียมมากมายนัก เพราะเป็นระบบที่จะเพิ่มขั้นตอนการอนุญาตและการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่มากกว่าในระบบสัมปทาน อันจะนำไปสู่ความล่าช้าในการตัดสินใจ ความอ่อนประสิทธิภาพ และความเสี่ยงด้านธรรมาภิบาลของการต้องผ่าน “โต๊ะ” จำนวนมาก
ส่วนนโยบายที่สำคัญอีกเรื่องก็คือ การเจรจากับกัมพูชาหาข้อยุติในการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชาในอ่าวไทย (OCA) ก็ยังก้าวหน้าน้อยมาก นอกจากนี้ ดร.คุรุจิต แสดงความกังวลว่าการแปลงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (แผน PDP2015) ไปสู่การปฏิบัติ ยังมีความล่าช้าและมีอุปสรรค เช่น การสร้างโรงไฟฟ้าที่ภาคใต้ (จ.กระบี่) เป็นต้น
คุณมนูญ ศิริวรรณ เห็นว่าไทยมีความเสี่ยงด้านพลังงานสำคัญ 3 ประการ หนึ่ง ประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะต้องนำเข้าพลังงานฟอสซิลเกือบ 100% ในอนาคต ทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ จากเดิมที่สามารถจัดหาก๊าซธรรมชาติจากในประเทศเป็นหลัก แม้แต่การผลิตพลังงานหมุนเวียนก็ต้องพึ่งพิงการนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศ สอง การขับเคลื่อนด้านพลังงานมีความล่าช้า เพราะมีข้อเรียกร้องจากภาคส่วนต่างๆ แต่ภาครัฐยังขาดการตัดสินใจและแนวทางการดำเนินการที่ชัดเจน เช่น การบริหารจัดการแหล่งปิโตรเลียม ซึ่งทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น และอาจไม่รอลงทุนต่อในประเทศไทย เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ต่างก็มีงบประมาณลงทุนที่จำกัด สาม ประชาชนยังมีความเข้าใจไม่ถูกต้องในเรื่องพลังงาน ทำให้การขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ มีอุปสรรค โดยมองว่าหากประเทศไทยขจัดความเสี่ยงเหล่านี้ไม่ได้ จะทำให้การบริหารจัดการด้านพลังงานของไทยมีความยากลำบาก
ทั้งนี้ กลุ่ม ERS อยากเห็นรัฐบาลเดินหน้าโครงการเพื่อความโปร่งใสในการสกัดทรัพยากร หรือ EITI ซึ่งได้ผ่านการอนุมัติของ ครม. แล้วตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย.2558 ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาการขาดความรู้ ช่วยสร้างความเข้าใจเรื่องพลังงานในสังคม และช่วยเสริมสร้างธรรมาภิบาลในภาคพลังงานของไทยได้ด้วย
ด้านคุณศิริพร ไชยสุต ได้แสดงทรรศนะเกี่ยวกับอนาคตพลังงานที่น่าสนใจว่า “ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ฉะนั้น จึงต้องกล้าตัดสินใจ เพื่อช่วงชิงโอกาสให้ท่วงทันกับสถานการณ์โลก โดยเราสามารถดูข้อดี ข้อด้อยของประสบการณ์ของประเทศอื่นๆ เป็นบทเรียน เช่น อังกฤษในช่วงที่ราคาน้ำมันเพิ่งเริ่มปรับตัวลงต้นปี 2558 การตัดสินใจของรัฐบาลอย่างทันท่วงทีในการแก้ไขกฎหมายภาษีน้ำมัน ทำให้สามารถเหนี่ยวรั้งนักลงทุนในทะเลเหนือให้ลงทุนต่อเนื่อง ทำให้ประชาชนหลายหมื่นคนไม่ตกงาน ธุรกิจต่อเนื่องขนาดกลางและเล็กต่างๆ ไม่ต้องปิดตัวลง มีพลังงานภายในประเทศใช้ รักษาเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไว้ได้ แม้จะอยู่ในระหว่างเลือกตั้งและมีเสียงคัดค้านมากมาย ในขณะที่บทเรียนจากวิกฤติเศรฐกิจของประเทศเวเนซูเอล่าซึ่งจริงๆ แล้วมีความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรปิโตรเลียมมากติดอันดับต้นๆ ของโลก แต่กลับใช้นโยบายที่ตอบสนองประชานิยมและชาตินิยม แก้ปัญหาเฉพาะหน้าตามคำเรียกร้อง ไม่มองภาพรวมหรือคำนึงถึงผลกระทบข้างเคียง จึงก่อให้เกิดปัญหาลูกโซ่ต่อเนื่องตามมาทั้งระบบโดยที่ไม่ได้ตั้งใจหรือไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น” เช่น การที่บรรษัทพลังงานมีวัตถุประสงค์ที่ซับช้อน โดยปะปนกับการแก้ปัญหาสังคมทำให้เกิดปัญหาในการบริหารพลังงานซึ่งน่าจะเป็นวัตถุประสงค์หลัก เกิดปัญหาทั้งด้านประสิทธิภาพและเงินลงทุน ทั้งนี้ ปัจจุบัน ประเทศเวเนซุเอลา ต้องนำเข้าน้ำมันดิบและน้ำมันเบนซินบางส่วนด้วย
ส่วนกรณีของประเทศไทย คุณศิริพรกล่าวว่า “ประเทศไทยยังมีโอกาสและความน่าสนใจในการลงทุน แต่ต้องไม่ประมาท ประชาชนต้องรับฟังข้อมูลอย่างมีสติ การแก้ปัญหาต้องคำนึงถึงผลกระทบในภาพรวมและระยะยาว ไม่ใช่คำนึงแต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า”
“การแก้ปัญหาพลังงานของไทยต้องใช้หลัก 5 ย. คือ มองยาว แยกแยะ ยับยั้งการยั่วยุ ยืนหยัด และ อย่ายืดยาด” คุณศิริพรกล่าวทิ้งท้าย
***************************************
กลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน
Fellowship of Energy Reform for Sustainability: ERS
30 พฤษภาคม 2560

สามารถแสดงความคิดเห็นได้ที่ : https://www.facebook.com/notes/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B8%99-ers/dinner-talk-3-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-ers-%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B9%86%E0%B8%84%E0%B8%99/655239068019438/